ด้วยศักดิ์ศรีความเป็นโปรดิวเซอร์ใหญ่ที่ได้รางวัลออสก้าร์มาแล้วจากหนัง Platoon (หนังเหี้ยไรวะ ปลาทูเอ็น)
และประสบความสำเร็จจากหนังแอ็คชั่นไล่ล่าอย่าง The Fugitive ทำให้ อาร์โนลด์ โคปเปลสัน โปรดิวเซอร์ใหญ่คิดว่าเขาจะสามารถกำหนดทิศทางของหนังและล้วงลูกแทรกแซงบทหนังทุกเรื่องที่เขาสร้างได้ แต่ไม่ใช่กับผู้กำกับ เดวิด ฟินเชอร์ และนักแสดงอย่าง แบรด พิตต์ สองคนนี้มีแนวทางในการทำหนัง SE7EN ของพวกเขาชัดเจน
อาร์โนลด์ โคปเปลสัน ใช้อำนาจเจรจาว่าตอนจบของ SE7EN จะต้องจบแบบที่คนดูออกจากโรงแล้วไม่รู้สึกค้างคา หรือพูดง่ายๆว่าจบแบบ Happy ending นั่นเอง แต่เดวิด ฟินเชอร์ กับ แบรด พิตต์ ยืนยันว่าฉากจบจะต้องมี "หัวของนางเอกอยู่ในกล่อง"เท่านั้น ไม่งั้นกูไม่เอาด้วย ตลอดเวลาของการถ่ายทำมีปัญหาขัดแย้งกันตลอดระหว่าง หนังใหม่เต็มเรื่อง โปรดิวเซอร์ กับ เดวิด ฟินเชอร์ แน่นอนว่า แบรด พิตต์ อยู่ฝั่งผู้กำกับของเขาชัดเจน ถึงขนาดที่ว่าร่างสัญญาเป็นลายลักษณ์อักษรตัวเป้งว่าฉากจบ "หัวนางเอกต้องอยู่ในกล่องเท่านั้น" ไม่งั้นก็ไปหาคนแสดงใหม่ เถียงกันถึงขนาดที่ว่า แบรด พิตต์ แทบจะถอนตัว แต่เดวิด ฟินเชอร์ ยืนยันว่าถ้า แบรด พิตต์ ออกกูก็ออกด้วย ความดื้อดึงของ อาร์โนลด์ โคปเปลสัน ยังไม่ยอมง่ายๆ เขาเสนอว่าตอนจบพระเอกต้องไม่ยิง จอห์น โด (เควิน สเปซี่ย์)เพราะในกล่องนั้นไม่ใช่หัวเมียพระเอกแต่เป็นหัวหมา มันจะช่วยให้โลกสงบสุขขึ้นหากหนังเข้าข้างความยุติธรรมและกฏหมาย เดวิด ฟินเชอร์ ทุบโต๊ะบอก ลุงหุบปากไปเลย อยากให้หนังเป็นตำนาน อีก 50-60 ปี ยังมีคนพูดถึงมัน หรืออยากให้มันเป็นหนังผดุงคุณธรรมสั่วๆหวังเอาเงินอย่างเดียวล่ะ แน่นอนว่าอาร์โนลด์ โคปเปลสัน ไม่มีทางเลือกนอกจากเอาแนวทางของผู้กำกับและพระเอก นั่นคือนางเอกต้องตาย ผู้ร้ายต้องโดนยิง และต้องมีหัวนางเอกอยู่ในกล่อง เมื่อการถ่ายทำเสร็จสิ้น ในขั้นตอนการยิงตัวอย่างวันแรกๆนั้น ฟีดแบ็คของผู้ที่ได้รับชมไม่ดีเอาเสียเลย คะแนนความน่าดูในสื่อตอนนั้นถูกวัดออกมาได้แค่ 70% ต่างจากหนังเก่าที่ อาร์โนลด์ โคปเปลสัน เคยสร้างอย่าง The Fugitive ที่เคยทำคะแนนความน่าดูไว้ถึง 98% ส่งผลให้หนังทำเงินมหาศาล แต่นี่คือ 70% หากหนังมีตอนจบที่ทำร้ายจิตใจคนดูหนักๆเขาเกรงว่าหนังจะไม่ทำเงิน
การประชุมแผนเกิดขึ้นอีกครั้งก่อนหนังจะฉาย อาร์โนลด์ โคปเปลสัน
เสนอให้ถ่ายซ่อมตอนจบ ทว่าก็ได้รับคำตอบเดิมคือ SE7EN มันสมบูรณ์แบบแล้ว และสัญญาของ แบรด พิตต์ ระบุไว้ ถ้าไม่อยากโดนฟ้องหัวโต เราควรทำตามแผนเดิมคือ หัวอยู่ในกล่อง และพระเอกยิงผู้ร้าย อาร์โนลด์ โคปเปลสัน แบ่งรับแบ่งสู้และยอมจำนนแต่โดยดี แต่ลึกๆเขาจะรอสมน้ำหน้าว่าที่หนังทำร้ายจิตใจคนดูแล้วเจ๊งแห่งปีได้เลย
แต่เขาไม่ได้ยอมจำนน 100% เพราะได้มีการถ่ายซ่อมฉากท้ายนั่นคือฉากตัวละคร เจ้าหน้าที่ซอมเมอร์เซ็ท ของมอร์แกน ฟรีแมน พูดคุยกับผู้บังคับบัญชาในเรื่องของการดูแลคดียิงผู้ร้ายตายของพระเอก "เราจะดูแลเขาเอง" คำพูดของผู้บังคับบัญชาอาจทำให้หนังยังพอมีความหวังกับคนดูในเรื่องของการไม่ทำร้ายจิตใจคนดูเกินไปนัก อย่างน้อยพระเอก หนังออนไลน์ ก็จะได้รับการคุ้มครอง ซึ่งเดิมทีบทจะตัดจบไปพระเอกยิงแล้วก็เป็นภาพมุมสูง และตัดจบ หนังเข้าฉายช่วง กันยายน ปี 1995 รายได้เปิดตัวถือว่าน่าเป็นห่วง เพราะทำรายได้เปิดตัวแค่ 13 ล้านเหรียญ พร้อมด้วยอาการยิ้มเยาะของ อาร์โนลด์ โคปเปลสัน ประมาณว่ากูบอกมึงแล้ว!! พวกมึงได้เป็นตำนานสมใจแน่ ตำนานหนังทำร้ายจิตใจคนดูเจ๊งบ๊งแห่งปี แต่เมื่อตอนจบสุดดาร์คของหนังเริ่มทำหน้าที่ของมัน กลับกลายเป็นกระแสปากต่อปากเพิ่มขึ้นๆๆ หนังจบรายได้ทั่วโลกที่ 327 ล้านเหรียญ จากทุนสร้างแค่ 33 ล้านเหรียญ พร้อมๆกับการที่หนังกลายเป็นสุดยอดตำนานหนังทริลเลอร์ที่ทุกวันนี้คนยังพูดถึงไม่ขาดปาก นี่ถ้าตอนจบเปิดกล่องมาเป็นหัวหมาจริงๆ กูล่ะไม่อยากจะคิด พี่อุ๊ด วิริย้า จะไม่ทน มูลนิธิมองหมามองแมวแถวนี้ จะไม่ถูกใจสิ่งนี้อย่างแน่นอน
อาร์โนลด์ โคปเปลสัน เสียชีวิตเมื่อช่วงตุลาคม ปี 2018 อายุ 83 ปี แต่ถึงแม้แกจะงี่เง่ายังไง ก็ยังถือเป็นผู้อยู่เบื้องหลังหนังในตำนานอย่าง Platoon(ปลาทูเอ็น) , Falling Down ,The Devil's Advocate และ Eraser
Comments