พ่อขังลูกไว้ ด้วยความรักที่ผิดๆ
อยากให้หามาดูกันสำหรับหนังสารคดีเรื่องนี้ มันพูดถึงการเลี้ยงลูกแบบ Homeschooled ที่เหมือนเป็นการคุมขังกลายๆของผู้เป็นพ่อ พ่อที่ไม่ยอมให้ลูกออกไปไหนเลย ตั้งแต่พวกเขาเกิดจนโตเป็นหนุ่ม ด้วยเหตุผลที่ว่า โลกภายนอกมันอันตรายเกินไปสำหรับพวกเขา แต่นี่ไม่ใช่หนังสารคดีซีเรียสอะไรขนาดนั้นนะ
ในทางกลับกัน มันสามารถสร้างรอยยิ้มได้ทั้งเรื่องราวกับ ดูหนังสด ฟีลกู้ดดีๆสักเรื่อง ถ้าเปรียบระบบต่างๆของโลกเป็นกะลาใบใหญ่ หมาป่าฝูงนี้ก็ถูกครอบไว้ด้วยกะลาสองชั้นซ้อนกัน สะเทือนใจหวาดหวั่น ขนพองสยองเกล้ากับความพยายามของพ่อผู้ที่ครอบกะลาใบเล็กให้ลูกๆเพื่อป้องกันพวกเขาจากโลกอันโหดร้าย
เพียงเพื่อที่พวกเด็กๆจะได้มาเจอโลกอันโหดร้ายอีกรูปแบบหนึ่ง รูปแบบที่หาอาหารมาป้อนเข้าปากลูกๆแทนที่จะให้พวกเขาออกไปล่าเหยื่อเอง ออกไปวิ่งเล่นกันบ้างตามสัญชาตญาณ หนังครึ่งเรื่องแรกให้ความรู้สึกว่า อีตัวพ่อนี่แม่งฮิตเลอร์ระดับครัวเรือนดีๆนี่เอง มันคือหนังสารคดีที่เล่นประเด็นตรงตามชื่อหนังมากที่สุด
ดีที่สุดเท่าที่หนังสักเรื่องจะตั้งชื่อได้ ชีวิตคนกลุ่มหนึ่ง ในรูปแบบเรียลลิตี้ไร้การปรุงแต่ง ไร้การบิ๊ลท์อารมณ์แบบขนบหนังดราม่าเรื่องอื่นๆ เพราะสิ่งที่ปรากฏในหนังเรื่องนี้ 100% มันคือชีวิตจริงที่มีดราม่าในตัวของมันอยู่แล้ว (จริงจนเกือบทำให้เชื่อได้ว่า มึงเซ็ตทุกอย่างขึ้นมาหลอกกูว่านี่คือสารคดีเหรอวะ) การเฝ้าดูครอบครัวหนึ่ง
ที่ใช้ชีวิตดั่งส่ำสัตว์นี่มันเป็นอะไรที่หดหู่น่าสะเทือนใจเสียเหลือเกิน แต่แปลกประหลาดตรงที่เรากลับมีรอยยิ้มบนความหดหู่นั้น เพราะแม้จะถูกเลี้ยงดูมาแบบส่ำสัตว์ แต่การที่พวกเด็กๆพยายามทำให้ตนเองมีสมอง มีหัวคิด เรียนรู้สิ่งต่างๆ ตามสัญชาตญาณสัตว์ประเสริฐนี่แหละ คือสิ่งที่มนุษย์ต่างจากส่ำสัตว์
เราจึงวางใจได้ว่าเด็กพวกนี้จะต้องไม่มีทางนั่งๆนอนๆวิ่งๆอยู่แค่ในกะลาที่ทับซ้อนด้วยกะลาอีกใบนั่นอย่างแน่นอน พวกเขามีกึ๋นมากกว่านั้น คิดได้ตามนี้เราจึงสลัดเอาความหดหู่ทิ้งไปแล้วสนุกไปกับหนัง แต่ที่สุดแล้ว มันก็คือความสนุกแบบกล้ำกลืนฝืนทน จนแทบจะก้ำกึ่งกับการ เป็นหนังเขย่าขวัญจิตวิทยาได้เลย
ใบหน้าเปื้อนยิ้มของเด็กชายทุกคน ทุกรอยยิ้มในหนังนั้นมีความหมายชัดเจนมาก มันทั้งหดหู่ กดดัน มีความสุข สนุกสนาน อิสระเสรี ฯลฯ ทุกอารมณ์มันถูกเล่าผ่านรอยยิ้ม น่าขนลุกเหี้ยๆที่คนๆกลุ่มหนึ่งยังคงยิ้มให้ความหดหู่สิ้นหวังกันได้กว้างขนาดนี้ ตอกย้ำความสะพรึงโดยการใส่บทสัมภาษณ์และรอยยิ้มกว้างๆ
ของผู้เป็นพ่อในช่วงท้ายของหนัง พ่อที่สร้างระบบฟราสซิสในครัวเรือน พ่อที่ปกป้องลูกในทางที่ผิดๆ แม้สถานการณ์ในหนังจะไม่ได้เลวร้ายถึงขั้นล่ามโซ่ตรวน แต่การสร้างความหวาดกลัวให้ลูกไม่กล้าออกไปไหนนี่มันน่ากลัวกว่าการล่ามโซ่ตรวนหลายเท่านัก คำว่า " หนัง " ในสารคดีเรื่องนี้จึงเปรียบเหมือนทุกสิ่งอย่างที่เด็กๆ
มีเป็นทั้งครู เป็นทั้งสิ่งบันเทิง เว็บสตรีมหนัง เป็นทั้งสิ่งปลอบประโลม พวกเขามีแค่"หนัง"นี่แหละเป็นแสงสว่าง น้ำตาไหลไปกับฉากที่เด็กๆที่เริ่มโตเป็นหนุ่มกันแล้ว แต่เพิ่งได้เข้าโรงหนังเป็นครั้งแรก ทั้งๆที่พวกเขาคือนักดูหนังชั้นเซียน มันมีทั้งความน่าสลด และความปลาบปลื้มในฉากเดียวกัน ดูจบคิดถึงคำๆหนึ่งที่ว่า "อยากไปท่องเที่ยวรอบโลกโดยไม่ต้องไปไหน
ก็ดูหนังเอาสิ " มันใช้ได้กับเด็กๆกลุ่มนี้จริงๆ พวกเขารับรู้ชีวิตโลกภายนอกกะลา ของพ่อก็จากการดูหนังนี่แหละ พูดถึงคนที่ปรกติที่สุดในเรื่องนี่คือ คนที่ยืนอยู่กึ่งกลางระหว่างเด็กๆ กับพ่อของพวกเขา นั่นคือผู้เป็นแม่นั่นเอง แม่ที่แบกรับเอาความคาดหวังจากทั้งสองฝั่ง แม่ผู้เฝ้ามองลูกมีสัญชาตญาณมีเขี้ยวเล็บ
แต่ไม่เคยได้ออกไปใช้ชีวิตตามสัญชาตญาณเลย แม่เป็นตัวละครตัวเดียวที่มีน้ำตา แต่เรากลับยิ้มให้น้ำตาของเธอ ถ้าจำกัดความของหนังเรื่องนี้ ต้องขอบอกว่าเป็นความ " เจ็บปวดที่งดงาม " อย่างแท้จริง อารมณ์ขัน ในหนังยังยั่วล้อกับหนังเรื่องต่างๆ ได้อย่างเป็นธรรมชาติ เด็กๆดูหนังกันเยอะมาก.....
เพราะวันๆไม่ได้ออกไปไหนเลยทั้งชีวิตตามคำขาดของผู้เป็นพ่อ และนั่นมันทำให้พวกเขาเล่นสนุกกันโดยการแสดงหนังที่สมมติสถานการณ์ตามหนังดังต่างๆ แล้วสามารถทำกันได้ดีโดยไม่ต้องไปเรียนแอ็คติ้งเลย ย้ำ!! ว่าเหตุการณ์ในหนังนี่คือการที่ทีมงานเอากล้องไปตั้งถ่ายครอบครัวนี้เฉยๆ ไม่ได้มีการเตี๊ยมใดๆทั้งสิ้น
แค่มีคอสตูมหรืออุปกรณ์ประกอบฉากที่ทำกันขึ้นมาเอง แค่นี้พวกเขาก็มีความสุขกันแล้ว โดยเฉพาะฉากที่พวกเด็กๆเล่นบทบาทตามหนังของ เควนติน ทาแรนติโน่ อย่าง Reservoir Dogs หรือ Pulp Fiction เล่นกันได้สนุกดีจริงๆ
ปัจจุบันพวกเขาได้ออกมาใช้ชีวิตโลกภายนอกกันได้แล้ว โดยที่ไม่ยอมให้คำสั่งของผู้เป็นพ่อมาทำลายชีวิตพวกเขาได้ และมีพี่น้องบางคนได้ทำงานเบื้องหลังในวงการหนังจริงๆอีกด้วย
Comments